ยุค AI ไทยโตได้ด้วยอะไร? ถ้าเศรษฐกิจยังอยู่ที่เดิม คลื่นเทคโนโลยีจะแรงแค่ไหน แต่คนไทยก็ยังไม่รวย
เมื่อเราเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 โลกก้าวผ่านช่วงเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีบ่อยครั้ง ทิศทางของสังคมและเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่ได้รับการกำหนดโดยความก้าวหน้าในเทคโนโลยี อย่างไรก็ตามความเป็นจริงคือไม่ใช่เพียงแค่ประเทศหรือบุคคลบางส่วนที่สามารถปรับปรุงโครงการดิจิทัลให้เข้ากันได้กับสภาพแวดล้อมปัจจุบันนี้
หลังจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2019 ผ่านไปแล้ว บทบาทของเทคโนโลยีได้มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด คำว่า “ดิจิทัล” และ “เทคโนโลยี” เกิดเป็นคำสำคัญที่ผนึกเข้ากับแผนยุทธศาสตร์สำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน การเผชิญหน้ากับความเสี่ยงใหม่ๆ และการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน
ความเจริญทางดิจิทัลที่ก้าวลุกลามขึ้นเป็นหมุดหมายใหม่ในระดับมหภาคได้เริ่มเป็นเรื่องที่ผู้นำต่างกลุ่มธุรกิจต้องการส่งเสริมให้ประเทศไม่ยอมทำถอยหลังอยู่กับสภาพปัจจุบันและเห็นว่าปัญหานี้เกิดขึ้นทั้งทั่วโลกและในประเทศไทยเช่นกัน การเพิ่มแหล่งเงินลงทุนที่อยู่ในมูลค่าที่สูงเข้าสู่พื้นที่สร้างอินฟราสตรัคเจ้าของอย่างดิจิทัล (Digital Infrastructure) เป็นหน้าที่หลักของผู้นำเพื่อเตรียมการในการสร้างพื้นฐานสำคัญในด้านดิจิทัล ยังคงส่งผลกระทบที่สำคัญบนภาคธุรกิจทั้งหลายด้วยการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบดิจิทัล (Digital Transformation) ที่เกี่ยวข้องกับวงกว้างของกิจกรรมที่มีผลต่อธุรกิจ ซึ่งทุกส่วนของสังคมได้เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล 5.0 ที่เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่วิธีการใช้ชีวิตเดิมๆ
Generative AI คลื่นลูกใหม่ ปลดล็อกการเติบโตไร้ขีดจำกัด
หลังจากภาคธุรกิจเร่ิมทำ Digital Transformation ปรับใช้ ‘Big Data analytics – Cloud Service’ ในการจัดเก็บโอนถ่ายข้อมูลแบบอัตโนมัติ (Automation) โดยมีภาคส่วนที่โดดเด่นอย่าง ภาคการผลิต การค้าปลีก และภาคการเงินการธนาคาร อย่างไรก็ตามการไหลเวียนและเติบโตของปริมาณข้อมูลดิจิทัลอันมหาศาลในช่วงที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่าไม่อาจตอบโจทย์บริบทที่หลากหลายได้อย่างเพียงพอ ทำให้ปัจจุบัน ‘เทคโนโลยี AI’ กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของผู้พัฒนานวัตกรรม ซึ่งถูกพูดถึงเป็นลำดับต่อมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโมเดลสถิติ การพัฒนาอัลกอริทึม Deep Learning, Natural Language Processing และอื่นๆ อีกมากมาย
ศักยภาพ AI ในการเพิ่มระดับการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงคาดการณ์ (Predictive analytics) และการวิเคราะห์เชิงให้คําแนะนํา (Prescriptive analytics) นำไปสู่การนำเสนอโซลูชัน ผลิตภัณฑ์ แม้กระทั่งโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ๆ ที่สามารถเข้าถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ซับซ้อนขึ้นได้ในปัจจุบัน แน่นอนว่า นั่นหมายถึง “การแก้ปัญหายากๆ การเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรและผลผลิตที่สูงขึ้นในทุกอุตสาหกรรม”
หากจะกล่าวให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เทคโนโลยีในยุค 5.0 นี้ไม่ได้ปลดล็อกแค่เพียงการประมวลผลของเครื่องจักร แต่ยังรวมไปถึงขอบเขตความสามารถของมนุษย์ในการใช้เทคโนโลยีเสริมแกร่งการทำงาน ดังนั้นแล้ว AI อาจสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศและทำให้คนมีศักยภาพในการสร้างรายได้ที่สูงขึ้น
AI เพิ่มผลิตผลประเทศ ความหวังใหม่ดึง GDP ไทย
PWC เผยแพร่ผลสำรวจผลกระทบจาก AI ต่อภาคธุรกิจในรายงาน “Global Artificial Intelligence Study: Exploiting the AI Revolution” ระบุว่า AI จะกระตุ้นการเติบโตของ GDP โลก 14% ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 15.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030
รายงานแสดงให้เห็นว่า 45% ของการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งหมดภายในปี 2030 มีปัจจัยหลักจากการเพิ่มผลิตผลของแรงงาน (Labour Productivity) การปรับปรุงกระบวนการผลิตและผลลัพธ์ที่ได้ (Automating Processes) จะส่งผลโดยตรงต่อความต้องการของผู้บริโภคให้เพิ่มขึ้น เนื่องจาก AI จะสร้างสินค้าและบริการที่หลากหลายและมีความเฉพาะเจาะจงสำหรับบุคคลมากขึ้น (Personalization)
นอกจากนี้ ข้อมูลจากงานวิจัย “Racing toward the future: Artificial intelligence in Southeast Asia” ซึ่งจัดทำโดย Kearney และ EDBI ได้เจาะลึกเพิ่มเติมสำหรับภูมิภาคอาเซียน
โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ศักยภาพของ AI จะช่วยกระตุ้นการเติบโต GDP ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เฉลี่ย 13% ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 9.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยงานวิจัยระบุว่า มากกว่า 80% ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มงบลงทุนหรือเริ่มต้นออกแบบกลยุทธ์ด้าน AI ไปพร้อมกับการดึงดูดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้เห็นถึงความสำคัญของ AI ทั้งนี้ผลกระทบต่อ GDP อาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ความพร้อมของการนำไปใช้
ยกตัวอย่าง ‘ประเทศสิงคโปร์’ ที่มีการยกระดับอุตสาหกรรมและภาคบริการทางดิจิทัลให้เป็นภาคส่วนหลักที่ทำเงินให้กับเศรษฐกิจมาก่อนหน้านี้ ทำให้สิงคโปร์เป็นผู้นำของภูมิภาคที่มีการนำ AI มาใช้อย่างเต็มระบบ และอยู่ในขั้นที่กำลังต่อยอดกลยุทธ์ด้าน AI ข้ามอุตสาหกรรม
จากค่าประมาณการดังกล่าวหากเรามาเจาะที่ประเทศไทย ภายในหกปี AI จะช่วยกระตุ้นการเติบโต GDP ถึง 13% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4 ล้านล้านบาท คำถามต่อไปก็คือภายในหกปีนี้ เราจะนำ AI มายกระดับการเติบโตเศรษฐกิจได้อย่างตรงจุดตามคำคาดการณ์หรือไม่? เมื่อล่าสุดรายงานภาวะเศรษฐกิจไทย ระบุตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของปี 2024 ที่ขยายตัวเพียง 1.5% พร้อมคาดว่าทั้งปีจะเพิ่มขึ้นไม่ถึง 3% ด้วยซ้ำ
งานวิจัยยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมที่มีการปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสจาก AI ซึ่งมีจุดร่วมสำคัญกับอุตสาหกรรมหลักๆ ที่สร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่าง ภาคการเกษตร ภาคการผลิต ภาคการท่องเที่ยวและการให้บริการ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อน GDP หลักๆ ของประเทศไทยมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา
โดยงานวิจัยระบุว่า เราสามารถปลดล็อกโอกาสของอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ขับเคลื่อนการเติบโตของภูมิภาคบ้านเราได้ด้วย AI กล่าวคือ เราสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่โดดเด่นของเรานี้ พร้อมค้นคว้าและเติมเต็มโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้ในขณะเดียวกัน
แม้อุตสาหกรรมเดิมจะยังมีศักยภาพขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศ แต่ทว่ากลไกขับเคลื่อนหลักอย่างภาคธุรกิจและคนทั่วไปกลับเผชิญหน้ากับความเสี่ยงใหม่ๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะวิกฤติเศรษฐกิจและช่องว่างทางการผลิตที่แย่ลงจากผลิตผลของแรงงานที่ลดลงสืบเนื่องจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การลดลงของประชากรเกิดใหม่ ซึ่งบ่งบอกว่าประเทศไม่อาจพึ่งพาเคลื่อนย้ายของแรงงาน แม้กระทั่งทักษะสำคัญในอดีตได้เหมือนเดิม
ตัวอย่าง 5 อุตสาหกรรมโดดเด่นที่จะได้ประโยชน์จากการเติบโตของ AI
-
- ภาคการผลิต (Manufacturing) ตัวอย่างเช่น ระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ช่วยเพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรม สามารถลดงานที่ใช้แรงงานคนในแต่ละวัน ทำให้พนักงานมีเวลาว่างในการทำงานที่สร้าง มูลค่าทางธุรกิจที่สูงกว่า เช่น การสร้างสรรค์นวัตกรรมและการค้นคว้าข้อมูล
- ภาคการท่องเที่ยว การค้าปลีกและให้บริการ (Retail & Hospitality) ตัวอย่างเช่น ระบบการขาย การจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับอุตสาหกรรม ลดความผิดพลาดในการจัดการสต๊อกสินค้า รวมถึงการทำตลาดแบบเฉพาะบุคคลที่สามารถสร้างประสบการณ์เชิงบวกให้กับลูกค้าผ่านโปรโมชันและคำแนะนำที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น
- ภาคการเกษตร (Agriculture) การประมวลข้อมูลในภาคเกษตรช่วยสร้างมาตรฐานการทำเกษตรแบบแม่นยำ ที่สามารถคาดการณ์และควบคุมปัจจัยในการเพาะปลูก เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรที่มีประสิทธิภาพ
- ภาครัฐ และการสร้างเมืองอัจฉริยะ (Government, Safety/Security and Smart cities) AI กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยภายในเมืองและชุมชน รวมถึงการสร้างระบบที่เอื้ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้าถึงบริการและข้อมูลข่าวสารของภาครัฐ
- ภาคสาธารณสุข (Healthcare) ซอฟต์แวร์ AI เข้ามาปรับปรุงและเสริมการทำงานขั้นพื้นฐานของบุคลากรทางการแพทย์ตลอดจนการวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อน
“ทั้งนี้ AI และ กองทัพ Digital Technology จึงถูกยกให้เป็นกุญแจสำคัญที่จะสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจดิทัลในระยะยาวต่อจากนี้”
อย่างไรก็ตามการเร่งการนำ AI มาใช้ ต้องอาศัยปัจจัยที่เหมาะสม ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ปลอดภัย รวมถึงแรงขับเคลื่อนสำคัญอีกประการ นั่นก็คือ การยกระดับทักษะดิจิทัลและ AI ของคนในประเทศไทย
นอกจากนี้สิ่งสำคัญในการสร้าง ‘ระบบนิเวศ AI’ โดยเฉพาะการวางโครงสร้างการกำกับดูแลที่จำเป็น คือ การดำเนินการร่วมกันจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด รัฐบาล ธุรกิจ ผู้ให้บริการเทคโนโลยี นักลงทุน และสถาบันการศึกษา เพื่อออกแบบกลยุทธ์ AI ระดับชาติร่วมกัน หน่วยงานกำกับดูแลจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่กำลังพัฒนาและความต้องการของผู้บริโภคเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
ตลอดจนการกำกับดูแลด้านกฎระเบียบต่างๆ ที่เอื้ออำนวยต่อผู้ใช้และผู้ให้บริการ เพื่อการเข้าถึงประโยชน์จาก AI อย่างเท่าเทียมเป็นธรรมและไม่ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น เหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายใหม่ของทุกคนที่ต้องให้ความสนใจ หากต้องการนำพาประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้นในยุค AI กำลังก้าวขึ้นมาเป็น Mega Trend ของโลก ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เตรียมพบเสวนาพิเศษในหัวข้อ “Unlocking Thailand With Green Finance & AI Economy” ซึ่งจัดขึ้นในงานครบรอบ 1 ปี Thairath Money วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 นี้
cr.https://www.thairath.co.th/money/tech_innovation/digital_transformation/2788200